Last updated: 23 ธ.ค. 2554 | 20083 จำนวนผู้เข้าชม |
จากวันนั้นย้อนหลังขึ้นไปกว่า ๒๕๐๐ปีมาแล้ว ณ เชิงเขาคิชฌกูฎ กรุงราชคฤห์ ครานั้นองค์พระศากยมุนีพุทธเจ้ากำลังทรงเข้าสู่สมาธิที่ชื่อว่า "คัมภีราวสมาธิ"ท่ามกลางบรรดาพระโพธิสัตต์และพระอรหันต์สาวกจำนวนมากอยู่นั้นเป็นขณะเดียวกันกับที่ พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตต์ ได้ดำริขึ้นว่า ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นความว่างเปล่าอยู่แล้วตามธรรมชาติ ดังนั้น พระอรหันต์สาวกองค์หนึ่งซึ่งมีนามว่า "ท่านสารีบุตร" จึงได้ปรารภขอให้องค์พระมหาโพธิสัตต์อวโลกิเตศวรจงแสดงธรรมเรื่อง "ความว่าง สุญญตา" ให้แก่บรรดาพุทธบริษัทที่ชุมนุมอยู่ ณ ที่นั้นด้วย ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้มีกำเนิดแห่งพระสูตรเลื่องชื่อซึ่งมีความหมาย "พระสูตรที่ว่าด้วยปัญญาเป็นส่วนสำคัญที่จะพาไปให้ถึงฝั่ง(พระนิพพาน)"
พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตต์ เมื่อทรงได้บำเพ็ญปัญญาบารมีจนบรรลุถึงโลกุตรธรรมอันลึกซึ้งแล้ว ก็พิจารณาเล็งเห็นว่าที่แท้จริงแล้วขันธ์ ๕ นั้นเป็นสูญ (สูญญตาหรืออนัตตาหรือความว่าง) และเมื่อสามารถมองเห็นว่าขันธ์ ๕ เป็นสูญแล้ว จักช่วยให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
รูปก็คือความสูญ ความสูญก็คือรูปนั้นเอง
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เป็นความสูญเช่นเดียวกัน น ไม่เต็มอย่างนี้
เพราะฉะนั้นแหละ ในความสูญจึงไม่มีรูป ไม่มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ไม่มีทุกข์ สมัทัย นิโรธ มรรค ไม่มีญาณ (ปัญญา)
พระโพธิสัตต์ เมื่อได้ทรงบำเพ็ญปัญญาบารมีแล้ว เป็นผู้ถึงความเป็นผู้มีจิตที่เหลืออยู่ต่อไปแล้ว
ดังนั้นควรได้ทราบว่าปัญญาบารมีนี้เป็นมนต์ที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นมนต์ที่ไม่อาจมีมนต์บทใดมาเทียบเคียงได้ ดังนั้นควรหมั่นสวดภาวนามนต์บทนี้ ด้วยเหตุนี้แล...จงไป ไป ไปยังฟากฝั่งโน้น
ไปให้พ้นอย่างสิ้นเชิงไปสู่ความเป็นผู้รู้ไปสู่ความสงบสันติเบิกบานเกษมศานต์เถิด” |
คำแปล ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร
พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ผู้ประกอบด้วยโลกุตรปัญญาอันลึกซึ้ง
ได้มองเห็นว่า โดยธรรมชาติแท้แล้ว ขันธ์ทั้งห้านั้นว่างเปล่า
และด้วยเหตุที่เห็นเช่นนั้น จึงได้ก้าวล่วง พ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้
สารีบุตร รูปไม่ต่างจากความว่าง ความว่าง ก็ไม่ต่างไปจากรูป
รูปคือความว่างนั่นเอง และความว่างก็คือรูปนั่นเอง
เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็เป็นดังนี้ด้วย
สารีบุตร ธรรมทั้งหลาย มีธรรมชาติแห่งความว่าง ไม่ได้เกิดขึ้นและไม่ได้ดับลง
ไม่ได้สะอาดและไม่ได้สกปรก ไม่ได้เพิ่มขึ้นไม่ได้ลดลง
ดังนั้น ในความว่างจึงไม่มีรูป ไม่มีเวทนา หรือสัญญา ไม่มีสังขาร หรือวิญญาณ
ไม่มีตาหรือหู ไม่มีจมูกหรือลิ้น ไม่มีกายหรือจิต ไม่มีรูปหรือเสียง ไม่มีกลิ่นหรือรส
ไม่มีโผฏฐัพพะหรือธรรมารมณ์ ไม่มีโลกแห่งผัสสะ หรือวิญญาณ
ไม่มีอวิชชา และไม่มีความดับลงแห่งอวิชชา ไม่มีความแก่และความตาย
และไม่มีความดับลงซึ่งความแก่ และความตาย ไม่มีความทุกข์
และไม่มีต้นเหตุแห่งความทุกข์ ไม่มีความดับลงแห่งความทุกข์
และไม่มีมรรคทางให้ถึง ซึ่งความดับลงแห่งความทุกข์
ไม่มีการประจักษ์แจ้งและไม่มีการลุถึง เพราะไม่มีอะไรที่จะต้องลุถึง
พระโพธิสัตว์ผู้วางใจในโลกุตรปัญญา จะมีจิตที่เป็นอิสระจากอุปสรรคสิ่งกีดกั้น
เพราะจิตของพระองค์เป็นอิสระจาก อุปสรรคสิ่งกีดกั้น
พระองค์จึงไม่มีความกลัวใดๆ ก้าวล่วงพ้นไปจากมายาหรือสิ่งลวงตา
ลุถึงพระนิพพานได้ในที่สุด พระพุทธในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
ผู้ทรงวางใจในโลกุตรปัญญา ได้ประจักษ์แจ้งแล้วซึ่งภาวะอันตื่นขึ้น
อันเป็นภาวะที่สมบูรณ์และไม่มีใดอื่นยิ่ง ดังนั้น จงรู้ได้เถิดว่า โลกุตรปัญญา
เป็นมหามนต์อันศักดิ์สิทธิ์ เป็นมนต์แห่งความรู้อันยิ่งใหญ่
เป็นมนต์อันไม่มีมนต์อื่นยิ่งกว่า เป็นมนต์อันไม่มีมนต์อื่นใดมาเทียบได้ซึ่งจะตัดเสียซึ่งความทุกข์ทั้งปวง
นี่เป็นสัจจะ เป็นอิสระจากความเท็จทั้งมวล ดังนั้น จงท่องมนต์แห่งโลกุตรปัญญา
คะเต คะเต ปาระคะเต ปาระสังคะเต โพธิ สวาหา
ไป ไป ไปยังฟากฝั่งโน้น ไปให้พ้นอย่างสิ้นเชิง ลุถึง การรู้แจ้ง ความเบิกบาน
อานิสงส์จากการสวดมนต์ภาวนา ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร
1. เพื่อเพิ่มพูนสติปํญญาให้สามารถเห็นแจ้งในธรรมะ
2. เพื่อการบรรลุภาวะการเป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรม
3. เพื่อการตรัสรู้และการบรรลุนิพพานโลกธาตุในที่สุด
สำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เดินทางเสี่ยงต่ออันตราย หรือ เผชิญภาวะฉุกเฉิน
และ ต้องการตั้งสติขจัดความตื่นกลัวออกไปโดยเร็ว ควรบริกรรม โดยใช้บทสวดมนต์ย่อว่า
"คะเต คะเต ปาระคะเต ปาระสังคะเต โพธิสวาหา"
ซ้ำหลาย ๆ ครั้ง ท่านหลวงจีนเฮียงจั๋ง (พระถังซำจั๋ง) ท่านกล่าวว่า
ท่านสวดบทนี้เมื่อท่านอยู่ในภาวะคับขันในการเดินทางข้ามทะเลทราย
ท่านเชื่อว่าทำให้มีสติตั้งมั่น เกิดปํญญา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง
23 ธ.ค. 2554
23 ธ.ค. 2554
23 ธ.ค. 2554