Last updated: 23 ธ.ค. 2554 | 46339 จำนวนผู้เข้าชม |
ร่วมโมทนาความดีด้วยการบูชาความกตัญญูแห่ง 24 เรื่องในตำนานของจีนอันน่าประทับใจ
เพื่อเป็นแนวทางชำระใจวันนี้
คุณเป็นลูกที่ดีของคุณพ่อคุณแม่แล้วหรือยัง???
เชิญร่วมโมทนาบุญอันยิ่งใหญ่แห่งสุดยอดของลูกกตัญญูได้แล้ว ณ บัดนี้
แค่อ่านเพียงนิดน้ำตาแห่งความดีและปิติแห่งกตัญญูจะปรากฏ
:: คลิกภาพอ่านเนื้อเรื่อง ::
หยีซุน กตัญญูจนได้บัลลังก์
หยีซุ่น แซ่เหยา... กำพร้าแม่แต่เด็ก บิดาชื่อ กู่โส่ว แม่เลี้ยงกับลูกมีจิตใจคับแคบ หยาบช้า เห็นแก่ตัว แม้ว่าซุ่นจะถูกแม่เลี้ยงกับลูกวางแผนเผาทั้งเป็นและกลบฝังในบ่อน้ำ แต่ก็รอดมาได้ทั้งสองครั้ง โดยซุ่นมิได้ถือโทษโกรธเคืองแม้แต่น้อย
ซุ่น ทำนาอยู่ที่เชิงเขาลิซัน มีช้างมาช่วยไถนา และมีฝูงนกมาช่วยกำจัดวัชพืชอย่างน่าอัศจรรย์ ความกตัญญูกตเวทีของซุ่นทราบถึงพระเจ้าตี้เหยา พระองค์จึงส่งพระโอรสเก้าองค์ไปช่วยซุ่นทำนา และยกพระธิดาสององค์ให้เป็นภริยา
เมื่อพระเจ้าตี้เหยาทรงชรามากแล้ว ได้มอบราชบัลลังก์แก่่ซุ่น ทรงพระนามว่า...“พระเจ้าซุ่นตี้”
2.ชิมยาด้วยตัวเอง |
ฮั่นเหวินตี้ ชิมโอสถ
สมัยราชวงศ์ฮั่น ฮั่นเหวินตี้ได้ขึ้นครองราชย์สืบต่อจากพระเจ้าฮั่นโกโจ ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่น พระเจ้า เหวินตี้ เป็นผู้มีความกตัญญูเป็นเลิศ ทุกเช้าค่ำพระองค์จะต้องเสด็จไปเยี่ยมถามทุกข์สุขของพระมารดา
ครั้ง หนึ่งพระมารดาเกิดล้มป่วยลง พระเจ้าเหวินตี้กระวนกระวายพระทัยมาก ทุกวันนอกจากการบริหารราชการแผ่นดินแล้ว พระองค์ไม่กล้าห่างกายพระมารดาแม้แต่ก้าวเดียว
นอกจากนี้โอสถที่พระมารดาเสวยทุกชาม พระเจ้าเหวินตี้จะต้องลองชิมดูด้วยพระองค์เองก่อนทุกครั้ง ว่าจะร้อนไป ขมไป หรือยาแรงไปหรือไม่ แล้วพระองค์จึงค่อยป้อนพระมารดา พระมารดาป่วยอยู่ 3 ปี ที่สุดก็ค่อย ๆ หายเป็นปกติ
3.กัดนิ้วเรียกบุตร |
สมัยราชวงศ์โจว เจิงเซินเป็นศิษย์ในสำนักขงจื๊อเป็นผู้มีความกตัญญูต่อผู้บังเกิดเกล้ายิ่ง
วัน หนึ่งขณะที่เขากำลังตัดฟืนอยู่ในป่า มีแขกคนหนึ่งมาเยือนที่บ้าน เนื่องจากเจิงเซินไม่อยู่ อีกทั้งไม่มีเงินจะซื้ออาหารมาต้อนรับแขกตามธรรมเนียม มารดาร้อนใจที่รอแล้วรอเล่าบุตรก็ยังไม่กลับมา ที่สุดนางเกิดความคิดขึ้นว่าสายเลือดของแม่กับลูกนั้นมีความสัมพันธ์ต่อกัน จึงใช้ฟันกัดนิ้วของตนเองจนแตก ในบัดดลนั้นเอง เจิงเซินกำลังตัดฟืนอยู่ในป่าก็รู้สึกเจ็บเสียวในอก เขาสังหรณ์ใจว่า ทางบ้านคงเกิดเหตุอะไรขึ้น จึงรีบแบกฟืนกลับบ้านทันที
4.แบบข้าวสาร 100 ลี้ |
สมัยราชวงศ์โจว จื่อลู่เป็นศิษย์คนหนึ่งในสำนักขงจื๊อ ครอบครัวของเขายากจนมาก ต้องไปเก็บผักป่ามากินประทังชีวิต เพื่อเลี้ยงดูผู้บังเกิดเกล้า เขาต้องไปรับจ้างทำงานไกลบ้าน ครั้นได้เงินมาก็จะซื้อข้าวสาร แล้วแบกกลับบ้านเป็นระยะทางไกลนับร้อยลี้เป็นประจำ
เมื่อบิดามารดา เสียชีวิตแล้ว จื่อลู่เดินทางลงใต้ไปรับราชการที่แคว้นฉู่จนได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ แม้ว่าบัดนี้ชีวิตความเป็นอยู่ของเขาจะสมบูรณ์พูนสุข แต่จิตใจเขาก็ยังคงรำลึกถึงพ่อแม่อยู่เสมอ เขามักจะรำพึงรำพันว่า “แม้ว่าบัดนี้เราจะมั่งมีศรีสุข แต่เมื่อพ่อแม่ไม่อยู่แล้ว การอยู่ดีกินดีจะมีความหมายอะไร ยังคิดอยากจะเหมือนเช่นแต่ก่อนที่กินผักป่าและแบกข้าวไกลร้อยลี้เพื่อเลี้ยง ดูพ่อแม่ เสียดายที่วันเวลาเหล่านี้ไม่สามารถหวนกลับมาอีกแล้ว”
5.แม่เลี้ยงใจลำเอียง |
สมัยราชวงศ์โจว จื่อเชียนกำพร้ามารดาแต่เด็ก บิดามีภรรยาใหม่ มีบุตรด้วยกัน 2 คน แม่เลี้ยงเกลียดชังจื่อเชียนมาก มักหาเรื่องดุด่าเฆี่ยนตีอยู่เสมอ
วันหนึ่งในฤดูหนาว บิดาใช้ให้จื่อเชียน เข็นรถม้าออกไปข้างนอกเพื่อจะไปธุระ ขณะที่จื่อเชียนกำลังเข็นรถม้าเชือกบังเหียนที่บังคับม้าหลุดจากมือ เมื่อบิดาตรวจดูเสื้อผ้าของจื่เชียน ก็รู้ว่าเลื้อกันหนาวของบุตรภายในบุด้วยนุ่นเทียม ครั้นไปตรวจดูเสื้อผ้าของลูกอีกสองคนปรากฎว่าภายในบุด้วยนุ่นอย่างดี บิดาโมโหสุดขีด คิดจะขับไล่นางไปจากบ้าน จื่อเชียนรีบคุกเข่า พูดว่า “พ่ออย่าไล่แม่ไปนะครับ ถ้าแม่อยู่ผมหนาวคนเดียวเท่านั้น ถ้าแม่ไปเราสามคนต้องลำบากไร้คนดูแล” นางได้ฟังคำของลูกเลี้ยง รู้สึกตื้นตันใจมาก ได้สำนึกผิด ตั้งแต่นั้นมานางก็รักเอ็นดูจื่อเชียนเสมอบุตรของตน
6.รีดนมกวางรักษาบุพการี |
สมัยราชวงศ์โจว ถันจื่อเป็นผู้มีความกตัญญูเป็นเลิศ บิดามารดามีอายุมากแล้วและเป็นโรคตาทั้งคู่ มีคนบอกว่าน้ำนมกวางสามารถรักษาได้ จึงอยากจะกินน้ำนมกวาง ถันจื่อจึงไปหาซื้อหนังกวางมาคลุมตัว แล้วบุกเข้าไปในป่า แทรกตัวปะปนอยู่ในฝูงกวางโดยกวางไม่สงสัย เขาจึงรีดน้ำนมใส่กา
ขณะ ที่เขากำลังนำนมกวางกลับบ้าน มีนายพรานมาพบเข้า เขาเกือบจะถูกนายพรานยิงตายด้วยลูกธนู เพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นกวาง เมื่อถันจื่อเล่าสาเหตุที่ต้องปลอมเป็นกวางให้ทราบ นายพรานยกย่องชมเชยในความกตัญญูของเขามาก เมื่อบิดามารดาได้ดื่มน้ำนมกวาง โรคตาก็หายวันหายคืนจนเป็นปกติ
7.แสร้งทำตัวเป็นเด็ก |
สมัยราชวงศ์โจว เหล่าไหลจื่อเป็นคนกตัญญูต่อผู้บังเกิดเกล้าอย่างยิ่ง เขาอายุ 70 ปีแล้ว พ่อแม่ยังแข็งแรงดี เขารู้ว่า พ่อแม่อายุมากแล้ว ดังนั้นจึงเลือกสรรแต่อาหารดี ๆ ที่ท่านชอบมาเลี้ยงดู
และเพื่อให้ พ่อแม่สำราญบันเทิงใจ บางครั้งเขาจะสวมเสื้อผ้าหลากสี แล้วร้องรำทำเพลงดังเช่นเด็กๆ หรือทำเป็นเด็กเล่นหาบน้ำ แสร้งลื่นหกล้ม แล้วทำเสียงร้องไห้เหมือนเด็กน้อย หรือออดอ้อนออเซาะเหมือนครั้งยังเด็ก ทำให้พ่อแม่เกิดอารมณ์ขำขันสำราญใจ
8.ขายตัวฝังศพพ่อ |
ต๋งหย่ง อยู่ในสมัยราชวงศ์ฮั่น เขาสูญเสียมารดาไปตั้งแต่เล็กในขณะที่หนีภัยสงคราม ต่อมา บิดาของเขาก็เสียชีวิตลง ต๋งหย่งจึงต้องขายตัวไปเป็นทาสเพื่อแลกกับเงินค่าทำศพพ่อ
9.สลักรูปพ่อแม่ขึ้นแท่นบูชา |
สมัยราชวงศ์ฮั่น ชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อติงหลัน พ่อแม่ตายตั้งแต่เขายังเด็ก จึงไม่มีโอกาสปรนนิบัติเลี้ยงดูทดแทนพระคุณ เขาเฝ้าแต่ระลึกถึงพระคุณของท่านทุกวันคือจึงแกะสลักรูปบิดามารดาขึ้น ประดิษฐานบนแท่นบูชาไว้กราบไหว้แทนตัว ทุกเช้าค่ำจะจัดอาหารเซ่นไหว้ปรนนิบัติดูแลเสมือนท่านทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ เมื่อนานวันเข้าภรรยาของเขาเกิดรำคาญและเบื่อหน่าย จึงเอาเข็มแทงเล่นที่นิ้วของรูปสลัก ทันใดนั้นก็มีเลือดไหลออกมา เมื่อติงหลันกลับมาเห็นรูปสลักมีน้ำตาไหล เกิดความสงสัย จึงสอบถามสาเหตุ ครั้นทราบว่าภรรยาใช้เข็มแทงนิ้วรูปพ่อแม่ จึงหย่าขาดจากภรรยา
10.แบกมารดาหนีภัย |
สมัยราชวงศ์ฮั่น เจียงเกอเป็นลูกกตัญญูที่กำพร้าพ่อแต่เด็ก อยู่กับมารดาผู้ชราเพียงสองคน ตอนนั้นบ้านเมืองเกิดความไม่สงบ โจรผู้ชายชุกชุม เขาจึงแบกมารดาไว้บนหลังหนีภัยไปอยู่ตำบลอื่น ระหว่างทางเกิดเจอกับพวกโจรๆ จะจับเขาไปเป็นพวก เจียงเกออ้อนวอนหัวหน้าโจรว่า “ได้โปรดเถิด ผมยังมีแม่ที่ต้องเลี้ยงดู หากผมไปกับพวกท่าน แม่ผมก็จะไม่มีใครดูแล”
หัว หน้าโจรเห็นเขามีความกตัญญูเช่นนี้เกิดความประทับใจ จึงปล่อยแม่ลูกไป เขาหนีภัยไปอยู่ในตำบลหนึ่ง ยากจนเข็ญใจมากไม่มีเสื้อ ไม่มีรองเท้า ทุกวันต้องไปรับจ้างเขาทำงาน เมื่อได้เงินก็นำมาบำรุงเลี้ยงมารดาจำเป็นต้องกินต้องใช้ทุกวัน เขาจะซื้อหามาไม่ให้ขาด จะเห็นได้ว่าคนจนก็สามารถแสดงความกตัญญูได้
11.ขโมยส้มฝากแม่ |
สมัยราชวงศ์ฮั่น ลกเจ็กอายุเพียง 6 ขวบ ได้ไปเยี่ยมคำนับอ้วนสุด เจ้าเมืองจิ่วเจียง เจ้าบ้านจัดส้มจำนวนมากมาเลี้ยงรับรองแขกตามธรรมเนียม เมื่อลกเจ๊กกินแล้วก็คิดถึงมารดา จึงหยิบส้มสองผลใส่ไว้ในแขนเสื้อ
ครั้น ได้เวลากลับบ้าน ขณะที่ทำคารวะอำลา บังเอิญส้มที่ซ่อนไว้หล่นลงพื้นอ้วนสุดเห็นแล้วก็พูดสัพยอกว่า “ลกเจ๊กเอ๋ย เจ้ามาเป็นแขกผู้เยาว์ ไฉนจึงแอบซุกส้มของเจ้าบ้าน ไม่กลัวคนเขาจะหัวเราะเยาะว่าลักส้มหรือ” เด็กน้อยคุกเข่าคำนับแล้วกล่าวว่า “แม่ผมชอบทานส้มที่สุด จึงตั้งใจจะเอาไปฝาก เมื่อแม่ได้ทานก็นับว่าท่านได้เลี้ยงแขกเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง” อ้วนสุดได้ฟังดังนั้นก็ชมเชยว่า เด็กอายุเพียงเท่านี้ยังรู้จักกตัญญูต่อมารดา หายากยิ่งนัก แล้วก็สั่งให้คนรับใช้เอาส้มกระเช้าหนึ่งเดินตามไปส่งเด็กตัวน้อยแต่มีความ กตัญญูเป็นเลิศผู้นี้
12.ฝังลูกเพื่อแม่ |
สมัยราชวงศ์ฮั่น ชายคนหนึ่งมีนามว่ากัวจี้ เป็นคนยากจน มีลูกชายอายุเพียง 3 ขวบ มารดาของกัวจี้รักเอ็นดูหลายชายคนนี้มาก จึงมักจะเอาอาหารที่นางกินแบ่งให้หลานชายกินเสมอ กัวจี้เห็นแล้วเกิดความละอายใจ จึงบอกภรรยาว่า บ้านเรายากจนอย่างนี้ อาหารที่บำรุงเลี้ยงมารดาความจริงก็ไม่ค่อยพออยู่แล้ว ยังถูกแบ่งส่วนหนึ่งให้ลูกของเราทุกวัน เราควรเอาลูกไปฝังเสียเถิด แม่จะได้กินอาหารอิ่มท้อง ลูกนั้นอาจมีใหม่ได้ แต่แม่ไม่อาจมีใหม่ได้อีก
เมีย เขาแม้จะรักลูกมาก แต่ก็เห็นความกตัญญูสำคัญกว่าจึงยอมตกลงด้วย ขณะที่กัวจี้ใช้จอบขุดพื้นดินลึก 3 ฟุต ก็พบทองแท่งจำนวนมาก มีอักขระจารึกไว้ว่า “ฟ้าประทานแก่ลูกกตัญญูห้ามหลวงยึด ห้ามราษฏร์ชิง”
13.พัดที่นอนให้บิดา |
สมัยราชวงศ์ฮั่น หวงเซียงเป็นชื่อของลูกกตัญญูคนหนึ่ง ขณะนั้นมีอายุ 9 ขวบ ตั้งแต่มารดาเสียชีวิต เขาเฝ้าแต่คร่ำครวญคิดถึงอาลัยอยู่ทุกวันคืน หวงเซียงตั้งอกตั้งใจทำงานด้วยความขยันขันแข็ง คอยปรนนิบัติรับใช้บิดาอย่างดีที่สุดตามหน้าที่ของลูกที่ดี
ในหน้า ร้อนยามอากาศร้อนอบอ้าว ก่อนที่บิดาจะเข้านอน เขาจะใช้พัดโบกวีที่นอนของบิดาให้เย็นเสียก่อน แล้วจึงเชิญบิดาขึ้นนอน เขาปฏิบัติเช่นนี้เรื่อยมาอย่างไม่เคยเบื่อหน่าย
กิตติศัพท์ความ กตัญญูของเขา เลื่องลือไปไกลจนทราบถึงเจ้าเมืองหลิวหู้ ท่านจึงขอให้ทางราชสำนักประกาศเกียรติคุณในความกตัญญูกตเวทีของหวงเซียง จนเป็นที่ทราบกันตราบทุกวันนี้
14.เก็บผลหม่อนเลี้ยงมารดา |
สมัยราชวงศ์ฮั่น ไช่ซุ่นกำพร้าพ่อแต่เด็ก เขาปรนนิบัติดูแลมารดาด้วยความกตัญญูยิ่ง ตอนนั้นบ้านเมืองเกิดจลาจลทั้งเกิดภัยแล้ง ข้าวยากหมากแพง ได้แต่ไปเก็บผลหม่อนมากินประทังชีวิต เวลาที่ไช่ซุ่นไปเก็บผลหม่อน จะต้องนำตะกร้าสองใบไปด้วย ใบหนึ่งใส่ผลหม่อนสีดำ ใบหนึ่งใส่ผลหม่อนสีแดง
บังเอิญ พวกโจรคิ้วแดงมาพบเข้า หัวหน้าโจรเห็นแปลกนักจึงถามว่า “ทำไมผลหม่อนเหล่านี้จึงต้องแยกตะกร้า” เด็กหนุ่มตอบว่า “ผลหม่อนสีดำมีรสหวานจะเอาไปให้แม่กิน ผลหม่อนสีแดงมีรสเปรี้ยวจะเอาไว้กินเอง” หัวหน้าโจรได้ฟังเกิดความสงสารที่ยากจน เช่นนี้ยังมีความกตัญญู จึงสั่งลูกน้องให้นำข้าวสาร 3 กระสอบกับเนื้อโค 1 ขามามอบให้ไปเลี้ยงมารดา
15.ตักน้ำไกลบ้าน |
สมัยราชวงศ์ฮั่น เจียงซือเป็นผู้กตัญญูต่อมารดายิ่งภรรยาชื่อนางผัง มีความกตัญญูต่อแม่ผัวยิ่งกว่าเจียงซือเสียอีก มารดาชอบดื่มน้ำที่มาจากแม่น้ำ นางผังไม่กลัวต่อความยากลำบาก อุตส่าห์ไปหาบน้ำจากแม่น้ำซึ่งอยู่ไกลบ้านมาให้แม่สามีดื่มและใช้ทุกวัน มารดาชอบกินเนื้อปลาที่หั่นเป็นชิ้น ๆ สองสามีภรรยาก็ไปหาปลามาปรุงให้มารดากินทุกวันทั้งยังไปเชิญแม่เฒ่าบ้านใกล้ เคียงมาร่วมกินเป็นเพื่อนมารดาเพื่อเป็นการเจริญอาหารอีกด้วย
อยู่มาวันหนึ่ง ที่ข้างบ้านได้เกิดมีแอ่งน้ำพุซึ่งมีกลิ่นและรสเหมือนน้ำจากแม่น้ำ และมีปลาไนคู่หนึ่งปรากฎขึ้นมาทุกวัน จากนั้นเป็นต้นมา สองสามีภรรยาก็ใช้น้ำและปลาจากแอ่งน้ำพุ มาปรุงอาหารให้มารดาบริโภคเป็นประจำ
16. แม่จ๋าไม่ต้องกลัว |
หยางอี่เป็นขอทานที่ปรนนิบัติดูแลมารดาด้วยความ กตัญญูยิ่ง ทุกครั้งที่ได้อาหารมา แม้จะหิวปานใดก็จะต้องให้มารดากินก่อนแล้วตนเองถึงจะกิน ยามมารดามีทุกข์เขาก็จะร้องรำทำเพลง เพื่อให้มารดาเกิดความสำราญบันเทิงใจชาวบ้านร้านถิ่นชื่นชมในความกตัญญูของ เขายินดีที่จะรับเขาทำงานด้วยเงินเดือนแพง แต่เขาปฏิเสธโดยกล่าวว่า “แม่ผมยังอยู่ จะห่างไกลแม้สักวันได้อย่างไร” เมื่อมารดาถึงแก่กรรม ชาวบ้านได้ร่วมกันบริจาคเงิน ช่วยค่าโลงศพโดยฝังไว้ที่ป่าช้า หยางอี่ได้ปลูกกระท่อมอยู่ข้างๆ เพื่อเป็นเพื่อนแม่และหมั่นเซ่นไหว้ทุกวัน เขาได้พบทองคำหนึ่งไหซึ่งฝังอยู่ข้างหลังหลุมฝังศพ มีอักขระจารึกไว้ว่า “ฟ้าประทานแก่ลูกกตัญญู” นี่คือผลลัพธ์แห่งความกตัญญู
17.น้ำนมไม่สูญเปล่า |
สมัยราชวงศ์ถัง นางจั่งซุนฮูหยินชรามากแล้ว ฟันร่วงหลุดหมดปาก ไม่สามารถขบเคี้ยวอาหารได้ นางถังฮูหยินผู้เป็นบุตรสะใภ้ต้องสละน้ำนมของนางให้กินทุกวัน ก่อนให้น้ำนมแม่ผัว นางจะอาบน้ำชำระร่างกายจนสะอาด แต่งตัวเรียบร้อยเข้าไปในห้องโถง เลิกเสื้อให้แม่ผัวดูดกินน้ำนมจากเต้าของนาง
นางจั่งซุนฮูหยินแม้จะ ไม่ได้กินข้าว แต่ได้กินน้ำนมทุกวัน เวลาผ่านไปหลายปีนางก็ยังแข็งแรงดี วันหนึ่งนางเกิดป่วยหนัก ได้เรียกบุตรหลานทุกคนมาพร้อมหน้าแล้วกล่าวว่า “ย่าไม่มีอะไรจะตอบแทนบุญคุณของลูกสะใภ้ ขอเพียงให้ลูกสะใภ้ของลูกหลานทุกคน จงได้มีความกตัญญูต่อแม่ผัวดังเช่นลูกสะใภ้ของย่าคนนี้ย่าก็พอใจแล้ว”
18.จับปลาในบึงน้ำแข็ง |
สมัยราชวงศ์จิ้น หวังเสียงกำพร้ามารดาแต่เด็ก นางจูมารดาเลี้ยงเกลียดชังลูกเลี้ยงมาก มักหาเรื่องฟ้องสามีว่าบุตรเลี้ยงอกตัญญูต่าง ๆ ทำให้บิดาพลอยเกลียดหวังเสียงไปด้วย แต่หวังเสียงยังคงกตัญญูต่อพ่อแม่ไม่เสื่อมคลาย มารดาเลี้ยงชอบกินปลาสดที่สุด แต่ตอนนั้นเป็นฤดูหนาวหิมะตกหนัก น้ำในแม่น้ำคลองบึงจับตัวเป็นน้ำแข็ง ไม่อาจจะหาปลาสดได้
หวังเสียง ได้ความคิดอย่างหนึ่ง จึงไปที่บึงน้ำแข็งแล้วเปลื้องเสื้อผ้าออก นอนนาบกายลงบนพื้นให้ไออุ่นในร่างเผาลนน้ำแข็ง ครู่ต่อมาน้ำแข็งก็แตกแยกออกเป็นร่องมีปลาไนสองตัวกระโดดขึ้นมา เขาดีใจมาก รีบนำปลาไปปรุงอาหารให้มารดาเลี้ยงกิน
19.ล่อยุงให้พ่อหลับ |
สมัยราชวงศ์จิ้น อู๋เมิ่งอายเพียง 8 ขวบก็รู้จักกตัญญูต่อผู้บังเกิดเกล้า เนื่องจากทางบ้านยากจนมาก จึงไม่มีเงินซื้อมุ้งมากางที่นอน ในฤดูร้อนยุงชุมมาก ตอนกลางคืนอู๋เมิ่งจะนอนเปลือยกายล่อให้ยุงกัดไม่ยอมปัดไล่ ปล่อยให้มันกัดกินเลือดของเขาจนอิ่ม เพื่อจะได้ไม่ไปกัดบิดา อู๋เมิ่งอายุเพียงแค่นี้ก็ยังรู้จักรักผู้บังเกิดเกล้าถึงปานนี้ นับว่าเป็นยอดแห่งลูกกตัญญูโดยแท้
20. แรงกตัญญูสยบเสือ |
สมัยราชวงศ์จิ้น มีเด็กหญิงอายุ 14 ขวบคนหนึ่งชื่อหยางเซียง วันหนึ่งขณะที่นางติดตามบิดาไปที่ไร่ ทันใดนั้น มีเสือตัวหนึ่งกระโจนออกมาคาบบิดาของนางไป ตอนนั้นในมือของหยางเซียงไม่มีอาวุธอะไร แต่ด้วยแรงกตัญญูบวกกับความกล้าหาญ นางจึงกระโดดขึ้นขี่บนหลังเสืออย่างไม่คำนึงถึงชีวิตของตนเอง โดยใช้มือน้อยทั้งสองบีบรัดคอเสือไว้แน่แล้วใช้กำปั้นต่อยไปที่หัวเสืออย่าง สุดแรง เสือตกใจก็ปล่อยบิดาแล้ววิ่งหนีหายไป บิดาของหยางเซียงจึงรอดจากถูกเสือกินอย่างหวุดหวิด
21.หาหน่อไม้นอกฤดู |
สมัยสามก๊ก เมิ่งจงกำพร้าบิดาตั้งแต่เด็ก อยู่กับมารดาผู้ชราและกำลังป่วยหนัก วันหนึ่งมารดากระหาย ใคร่จะกินหน่อไม้ เมิ่งจงรีบไปเสาะหาในป่าไผ่ แต่พยายามหาเท่าไหร่ก็หาไม่ได้เพราะเป็นฤดูหนาว เมื่อจนปัญญาก็โผเข้ากอดกอไผ่ร่ำไห้อย่างน่าเวทนา ด้วยอานุภาพแห่งความกตัญญูของเขา ฟ้าดินดลบันดาลให้หน่อไม้ผุดขึ้นเหนือพื้นมากมายอย่างน่าอัศจรรย์ เขาดีใจมาก ขอบคุณฟ้าดิน แล้วรีบขุดเอาไปปรุงอาหารให้มารดากิน จากนั้นมาอาการป่วยของนางก็หายวันหายคืนจนเป็นปกติ
22.ชิมอุจจาระบิดา |
สมัยราชวงศ์ฉี เกิงเฉียนโหลวสอบเข้ารับราชการได้ที่อำเภอแห่งหนึ่ง เข้าทำงานได้ไม่ถึง 10 วัน จู่ ๆ ก็รู้สึกใจสั่นเหงื่อไหลโทรมกายโดยไร้สาเหตุ สังหรณ์ใจว่าทางบ้านคงเกิดเหตุอะไรขึ้น จึงลาราชกายกลับบ้านเกิด
เมื่อ ถึงบ้านก็พบว่าบิดาเพิ่งจะป่วยได้ 2 วัน หมอที่มารักษาบอกเขาว่า ถ้าอยากรู้ว่าอาการป่วยหนักหรือเบา เพียงแค่ชิมอุจจาระของคนไข้ก็จะทราบ หากอุจจาระมีรสขมก็รักษาไม่ยากแต่ถ้ามีรสหวานก็หมดหนทางรักษา เฉียนโหลวมิรอช้าเอาอุจจาระของบิดาขึ้นชิมทันที ปรากฎว่ามีรสหวาน ทำให้เขาทุกข์ใจมาก พอตกค่ำเขาอธิษฐานต่อเทพเจ้าเบื้องบน ขอให้บิดาจงหายป่วย ส่วนตนเองจะขอตายแทน ด้วยอานุภาพแห่งความกตัญญูของเขา ไม่ช้าบิดาก็หายเป็นปกติ
23.ลาออกราชการตามหามารดา |
สมัยราชวงศ์ซ้อง จูโซ่วชาง ตอนอายุเพียง 7 ขวบ มารดาของเขาชื่อนางหลิว เป็นภรรยาน้อยของบิดา ภรรยาหลวง ริษยานางหลิวมาก จึงขายนางให้เป็นภรรยาชายอื่นไปนับแต่นั้นมาแม่ลูกต้องพรากจากกันเป็นเวลา ถึง 50 ปี กระทั่งถึงรัชกาลของเสินจงฮ่องเต้ จูโซ่วชางแม้จะเป็นขุนนางชั้นสูงแต่ในใจเขาหามีความสุขไม่ ระลึกถึงพระคุณของมารดาที่ให้กำเนิดอยู่เสมอ จึงตัดสินใจลาออกจากราชการ เพื่อจะได้ติดตามสืบหามารดา
ก่อนออกเดินทางเขาบอกกับคนในบ้านว่า “เราไปครั้งนี้ หากหามารดาไม่พบ ขอสาบานว่า จะไม่กลับบ้านอีกจนชั่วชีวิต” จากนั้นก็ออกเดินทางรอนแรมไปถึงเขตถงโจว ก็ได้พบกับแม่บังเกิดเกล้าที่จากกัน 50 ปี ด้วยความบังเอิญ ตอนนั้นนางมีอายุ 70 กว่าปีแล้ว
24.เทกระโทนด้วยตัวเอง |
สมัยราชวงศ์ซ้อง หวงถิงเจียนเป็นขุนนางผู้ใหญ่ที่มีความกตัญญูต่อผู้บังเกิดเกล้ายิ่ง แม้เขาจะมียศศักดิ์สูงส่งเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป ก็ไม่เคยละเลยการปรนนิบัติดูแลตามหน้าที่ของลูกที่ดี โดยปฏิบัติตามโอวาทหรือคำสั่งของมารดาอย่างเคร่งครัด ทุกวันเขาจะเทล้างถังอุจจาระของมารดาด้วยตนเอง ไม่ยอมใช้บ่าวไพร่ให้ทำงานนี้ เพราะถือว่าเป็นหน้าที่ของบุตรที่พึงปฏิบัติ ไม่ควรไปให้คนอื่นทำแทน ดังนั้นแม้ว่าเขาจะเป็นถึงขุนนางผู้ใหญ่ ก็หาได้ละเลยหรือขาดตกบกพร่องในหน้าที่ของบุตรแม้แต่วันเดียว
23 ธ.ค. 2554
23 ธ.ค. 2554
23 ธ.ค. 2554